วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

รู้จักกลิ่นปาก...พร้อมกลเม็ดพิชิตกลิ่น

รู้จักกลิ่นปาก...พร้อมกลเม็ดพิชิตกลิ่น

Pic_21482

สาเหตุของกลิ่นปาก ส่วนใหญ่เกิดจากเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามซอกฟัน บริเวณที่ทำความสะอาดได้ยาก หรือในรูฟันผุ ซึ่งจะมีเศษอาหารเน่าอยู่ รวมทั้งแผ่นคราบฟันและหินปูนที่อยู่รอบๆ ฟัน ซึ่งเป็นที่เก็บกักและสะสมเชื้อโรคต่างๆ บางคนพบว่าเหงือกเป็นหนองจากโรคปริทันต์ หรือมีฟันโยก อาหารบางชนิดเมื่อรับประทานจะมีกลิ่นขับออกมาทางลมหายใจ เช่น หัวหอม กระเทียม ทุเรียน ผู้ที่ดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่เป็นประจำ หรือท้องผูกหลายๆ วัน ก็ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ รวมทั้งผู้ป่วยโรคทางร่างกายบางอย่าง เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ไซนัสอักเสบเรื้อรัง วัณโรค โรคปอด และโรคระบบทางเดินอาหาร
ภายหลังตื่นนอนใหม่ๆ กลิ่นปากจะแรง เพราะในขณะที่นอนหลับน้ำลายจะถูกขับออกมาน้อย ทำให้น้ำลายมีการหมุนเวียนน้อย เศษอาหารที่ตกค้างสะสมอยู่จึงมีการบูด เกิดเป็นกลิ่นปากค่อนข้างแรง

เมื่อตื่นนอนได้แปรงฟัน และน้ำลายมีการไหลเวียนมากขึ้น กลิ่นปากก็บรรเทาลง น้ำลายเปรียบเสมือนน้ำยาบ้วนปากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ช่วยชะล้างสิ่งสกปรกภายในช่องปาก เมื่อมีน้ำลายหลั่งออกมากทำให้ช่องปากสะอาดมากกว่าน้ำลายที่หลั่งออกมาน้อย ช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น น้ำลายจะหลั่งออกมาได้มากในขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว หรือการคิดถึงอาหารอร่อยๆ ที่ชอบ ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายน้อย เช่น เวลานอน ภาวะอดอาหาร การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ตลอดจนภาวะทางจิตใจ ความเครียด อาชีพที่ใช้เสียงมากๆ เช่น ครู ทนายความ มีผลให้มีน้ำลายน้อย และมีกลิ่นปากได้

กลิ่น เหม็นจากช่องปากบางครั้งเกิดขึ้นได้จากโคนลิ้นด้านในสุด เนื่องจากมีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงคอ ซึ่งในภาวะเช่นนี้ ไม่จำเป็นว่าจะเกิดจากการเจ็บป่วยหรือเป็นโรค แต่มักมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้ น้ำเมือกที่ไหลลงคอในระยะแรกๆ จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปาก สัก 2-3 วัน แบคทีเรียจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่น เราสามารถทดสอบกลิ่นโดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบาๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมดู และกรณีคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้ เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะเหม็นเมื่อเริ่มพูด เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น จึงควรแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างนี้ได้

สรุปว่ากลิ่นปากเกิดได้ จากหลายๆ สาเหตุหากแก้ไขที่ต้นเหตุได้ก็จะเป็นวิถีทางที่ดีที่สุด เพราะการใช้ของสำเร็จรูปนั้นเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและชั่วคราว เท่านั้น

สำหรับกลิ่นปากในเด็ก ท่านผู้ปกครองไม่ต้องกังวลว่าจะเด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่ เพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่ สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหารและเชื้อแบคทีเรียเหลือตามซอกฟัน เด็กมักจะมีกลิ่นมากมากในตอนเช้า หากเป็นมากจะมีตอนสาย บางรายเด็กไม่มีอาการปวดฟันแต่มีฟันผุ ที่พบบ่อยคือไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปาก ได้ นอกจากกลิ่นปากเด็กโดยมากจะเกิดอาการ น้ำมูกไหล ไอกลางคืน คออักเสบ เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก โรคภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปาก ท่านผู้ปกครองควรสอนให้เด็กแปรงฟัน และล้างปาก เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากและมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสารฟลูออไรด์ ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง สอนเด็กใช้ไหมขัดฟัน หากเห็นเศษอาหารติดที่คอก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปากทันที

กลเม็ดพิชิตกลิ่นปาก

  1. อย่าปล่อยให้ปากแห้ง เพราะเมื่อปากแห้งความเข้มข้นของแบคทีเรียในปากจะเพิ่มมาก ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ง่าย
  2. ดื่มน้ำมาก ๆ ช่วยล้างแบคทีเรียออกจากน้ำลาย
  3. แปรงฟันทุกครั้งหลังอาหาร และอย่างลืมแปรงด้านบนของลิ้น อันเป็นที่เกิดของแบคทีเรียด้วย
  4. ใช้ไหมขัดฟันวันละ 2-3 ครั้ง
  5. ถ้าไม่สะดวกจะแปรงฟัน ให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำยาบ้วนปาก
  6. เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดที่ไม่มีน้ำตาล
  7. เคี้ยวใบผักชีฝรั่งหรือกานพลูหลังมื้ออาหาร
  8. งดอาหารกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หอมใหญ่ พริกไทย และเนยแข็ง
  9. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก
  10. กินอาหารให้ครบหมู่ แม้ว่าคุณจะกำลังลดความอ้วนอยู่ก็ตาม
  11. เลิกสูบบุหรี่
  12. ตรวจสุขภาพฟันสม่ำเสมอ
ขอบคุณแหล่งที่มา/www.thairath.co.th/

Play Free Ben 10 Games
Play Free Pokemon Games Online
The Game My Life
Top Video Games
Codes Game Cheats For Ps2
Free Online Football Games To Play
Games That Kids Can Play Online
Halo 3 Game Cheats
Miniclip Free Games
Online Car Customizing Games

ฤทธิ์ของ...ริดสีดวงทวารหนัก

ฤทธิ์ของ...ริดสีดวงทวารหนัก

Pic_21513

ถ่าย เป็นเลือด!! อาการเด่นชัดอย่างหนึ่งของโรคริดสีดวงทวารหนักที่มักทำให้ผู้ที่เป็นตื่น ตระหนกตกใจ และสร้างความทุกข์ทรมานอย่างมากแก่ผู้ป่วยทั้งชายและหญิงที่มีอาการท้องผูก และไม่นิยมดื่มน้ำ พบได้ตั้งแต่ช่วงอายุ 20 – 30 ปี อาการเริ่มแรกมักจะเป็นๆ หายๆ และจะรุนแรงขึ้นในช่วงอายุประมาณ 40-50 ปี

สาเหตุการ เกิดโรคริดสีดวงทวารหนักที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีความสัมพันธ์กับการเบ่งถ่ายรุนแรงและเรื้อรัง เนื่องจากท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง การยืนนาน การยกของหนัก การมีครรภ์ ภาวะเหล่านี้สามารถทำให้เลือดคั่งในเส้นเลือดดำที่ผนังรูทวาร ส่งผลให้กลุ่มเส้นเลือดและเนื้อเยื่อบริเวณส่วนปลายของลำไส้โตขึ้น ซึ่งปกติจะมีหน้าที่ป้องกันกล้ามเนื้อของทวารหนัก รวมทั้งหูรูดระหว่างขับถ่ายอุจจาระ และช่วยให้ทวารหนักปิดได้สนิทในขณะที่เราอยู่เฉย

อาการสำคัญ

  • ถ่ายเป็นเลือดสีแดงสดหรือพุ่งออกมาขณะเบ่งถ่ายอุจจาระและหมดไปเมื่อหยุดเบ่ง
  • มีก้อนปลิ้นออกมาเวลาเบ่งถ่าย
  • ก้นแฉะและคันก้น
  • มีก้อนออกมาคาบริเวณทวารหนักและปวด
  • ปัจจัย ที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวารหนัก
 ท้องผูกเรื้อรัง ท้องเสียถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ นิสัยเบ่งอุจจาระมาก เพื่อพยายามเอาอุจจาระก้อนสุดท้ายออก ชอบนั่งถ่ายนานๆ เช่น อ่านหนังสือไปด้วย ชอบใช้ยาสวนหรือยาระบายพร่ำเพรื่อ หญิงตั้งครรภ์ ภาวะตับแข็ง อายุมากขึ้น ด้วยสาเหตุเหล่านี้ทำให้มีโอกาสที่กลุ่มเส้นเลือดและเนื้อเยื่อบริเวณส่วน ปลายลำไส้โตและยืดออก ซึ่งการที่มีเลือดออกนั้นเกิดจากการบาดเจ็บของเส้น เลือดบริเวณดังกล่าว กรณีที่พบบ่อยมักมาจากอุจจาระที่แข็งมากๆ ร่วมกับการเบ่งนานๆ ทำให้มีเลือดสดๆ ไหลออกจากทวารหนักได้

ริดสีดวงแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ ดังนี้

  1. ริดสีดวงภายในิดสีดวงภายในจะอยู่ภายในทวาร โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1 หัวริดสีดวงยังอยู่ภายในทวารหนัก มีอาการเลือดออกเพียงอย่างเดียว
ระยะที่ 2 หัวริดสีดวงยื่นออกมานอกทวารหนักเวลาเบ่งและเลื่อนกลับเข้าได้เองเมื่อหยุดเบ่ง
ระยะที่ 3 หัวริดสีดวงยื่นออกมาเวลาเบ่งและต้องดันกลับเข้าไปในทวารหนัก
ระยะที่ 4 หัวริดสีดวงโตมากและยื่นออกมาอยู่นอกทวารหนักตลอดเวลา ไม่สามารถดันกลับเข้าไปในทวารหนักได้



แนวทางในการรักษา

การรักษาจะมุ่งระงับอาการมากกว่าที่จะขจัดหัวริดสีดวงให้หมดไป การผ่าตัดจำเป็นในรายที่มีข้อบ่งชี้ชัดเจนเท่านั้น
การรักษาทั่วไป
ดูแลการขับถ่ายให้เป็นปกติ หมั่นออกกำลังกาย ดื่มน้ำให้เพียงพอ รับประทานผักและผลไม้จะช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวกขึ้น ถ้าก้นแฉะหรือชื้นต้องหมั่นล้างและเช็ดให้แห้ง ไม่ควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อมาเช็ดล้างทวารหนักเพราะจะทำให้อักเสบได้ ระวังการดื่มของมึนเมา เช่น เหล้า เบียร์ ซึ่งอาจทำให้หัวริดสีดวงพองมากขึ้น
การรักษาแบบเฉพาะเจาะจง มีหลายวิธี เช่น
การฉีดยา
เพื่อทําให้หัวริดสีดวงยุบลง โดยฉีดยาเข้าไปในชั้นใต้เยื่อบุทําให้เกิดพังผืดรัดหลอดเลือดบริเวณริดสีดวง และรั้งเนื้อเยื่อริดสีดวงไม่ให้เลื่อนตัวลงมา ใช้กับผู้ป่วยที่มีเลือดออกและหัวริดสีดวงยื่นออกมาไม่มาก แพทย์จะทำการฉีดยาทุก 2-4 สัปดาห์จนอาการทุเลา ผลข้างเคียงอาจทําให้เวียนศีรษะและระคายเคืองทวารหนักเป็นระยะเวลาสั้นๆ ได้

การใช้ยางรัด จะ ใช้ในกรณีที่หัวริดสีดวงที่ยื่นออกมามีขั้วขนาดเหมาะที่จะรัดได้ เพื่อให้หัวริดสีดวงหลุดออก และพังผืดที่เกิดจากแผลจะรั้งริดสีดวงที่เหลือให้หดกลับเข้าไปในทวารหนัก ไม่ควรทําในรายที่มีภูมิคุ้มกันผิดปกติ หรือมีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ถ้ามีอาการเจ็บมากควรเอายางที่รัดออกทันที ผลข้างเคียงหลังการรัดอาจมีอาการระคายเคืองหรือปวดถ่วงในทวารหนัก แต่อาการไม่รุนแรงมากนักและกินเวลานานประมาณ 24-48 ชั่วโมง บรรเทาโดยให้ยาระงับปวด เมื่อหัวริดสีดวงหลุดจะมีเลือดออกประมาณ 3-7 วัน แต่มักออกไม่มากและหยุดได้เอง ข้อพึงระวังคือหัวริดสีดวงอาจอักเสบ บวม เจ็บ และยื่นออกมาได้หรืออาจเกิดภาวะติดเชื้อบริเวณทวารหนักซึ่งเกิดขึ้นได้น้อย มาก โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณทวารหนัก มีไข้สูง และปัสสาวะไม่ออก ภาวะเช่นนี้อาจรุนแรงมากจนผู้ป่วยถึงแก่กรรมได้ ควรรีบนำผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
การจี้ริดสีดวงทวารด้วยอินฟราเรด เพื่อให้ริดสีดวงทวารยุบลงและหยุดอาการเลือดออก ทำในกรณีที่ริดสีดวงยังอยู่ในระยะที่ 1 และ 2 หลังการจี้ 1-2 สัปดาห์อาจมีผลข้างเคียงคือมีเลือดออกจากแผลได้ แต่จะไม่มากและสามารถหยุดได้เอง

การผ่าตัด

การผ่าตัดใช้หลักในการตัดเนื้อเยื่อทวารหนักส่วนเกิน และเย็บดึงรั้งริดสีดวงทวารส่วนที่เหลือขึ้นไปในทวารหนัก การรักษาโดยการผ่าตัดจะทำก็ต่อเมื่อหัวริดสีดวงใหญ่และยื่นออกมา หรือตั้งแต่ระยะที่ 3 เป็นต้นไป อาจเสริมด้วยการตกแต่งขอบทวารหนัก เช่น ตัดติ่งหนัง หรือขยายปากทวาร หรือตกแต่งแผลที่มีร่วมด้วย หลังผ่าตัดจะได้รับยาแก้ปวดและยาช่วยให้อุจจาระไม่แข็งมาก ควรแช่น้ำอุ่นจะทำให้กล้ามเนื้อหูรูดคลายเกร็งและทุเลาปวดได้

นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีการรักษาโดยการเย็บหลอดเลือดที่วิ่งมาที่หัวริดสีดวงทวารหนัก โดยใช้เครื่องตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (Doppler Ultrasound) เข้ามาช่วย และถ้าเป็นระยะที่ 3 ซึ่งมีก้อนยื่นออกมา ก็สามารถเย็บหัวริดสีดวงเข้าไปด้านใน โดยไม่มีการตัดเนื้อเยื่อออก ทำให้ไม่เจ็บเหมือนการตัดหัวริดสีดวงออก ซึ่งผลข้างเคียงน้อยและไม่รุนแรงเหมือนการตัดด้วยเครื่องมือตัดเย็บหัว ริดสีดวงที่เรียกว่า Hemorrhoid Stapler

ริดสีดวงภายนอก
ริดสีดวง ภายนอกเป็นเส้นเลือดดำที่อยู่รอบริมปากทวารหนักที่พองออกเวลาเบ่งถ่าย อุจจาระ และจะยุบลงเมื่อหยุดเบ่ง จะมีปัญหาก็ต่อเมื่อเกิดลิ่มเลือดที่ทำให้เส้นเลือดอุดตัน และเกิดเป็นตุ่มแข็งที่ขอบทวารหนักหลังถ่ายอุจจาระ จะทำให้เจ็บมากภายใน 3 – 4 วันแรก และถ้าปล่อยไว้อาจแตกมีเลือดซึมหรือมีก้อนเลือดหลุดออกมาหรือยุบลงจนเป็น ปกติภายใน 2 สัปดาห์ บางรายจะยุบไม่หมดทำให้ผิวหนังขอบทวารหนักแข็งนูนออกเป็นติ่ง

แนวทางในการรักษา
ถ้า เป็นก้อนเล็กและไม่เจ็บมากก็ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด แต่ถ้าเป็นก้อนใหญ่และเจ็บมากควรผ่าเอาก้อนเลือดที่คั่งออกโดยใช้ยาชาฉีด เฉพาะที่ ซึ่งผู้ป่วยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล

ขอบคุณแหล่งที่มา/www.thairath.co.th/

Online Free Toddler Games
The Newlywed Game
War Video Games
Board Games To Play
Dating Sims Rpg Games
Free Kid Games
Free Pinball Arcade Games
Games Downloads
Make Own Computer Games
Multiplayer Internet Games Like Runescape

จิตแพทย์แนะคนไทยบริหารอีคิว

จิตแพทย์แนะคนไทยบริหารอีคิว

Pic_21503

สภาพ การณ์ของคนไทยกำลังเผชิญกับภาวะบีบคั้นรอบด้าน ทั้งจากวิกฤตเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น อีกทั้งยังเจอกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อีก ทำให้ประชาชนเกิดความเครียด วิตกกังวลสูง และมีอารมณ์แปรปรวน ในรายที่มีอาการสะสมรุนแรงก็จะพัฒนาไปสู่อาการทางจิตหรือฆ่าตัวตายได้


จาก ผลสำรวจล่าสุดของกระทรวงสาธารณสุขปี 2551 พบว่าคนไทยมีปัญหาสุขภาพจิตสูงถึงร้อยละ 20 หรือประมาณ 6-12 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่ทำงานนอกบ้านและต้องมีภาระรับผิดชอบดูแลบ้านและครอบ ครัว ซึ่ง นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ทั่วไปโรงพยาบาลมนารมย์ ระบุ ว่า คนไทยยังมีความรู้และความเข้าใจในเรื่องของสุขภาพจิตน้อย จึงไม่สามารถบริหารจัดการความเครียดได้ อีกทั้งสังคมยังมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนา IQ (Intelligence Quotient) ความฉลาดทางสติปัญญา จนมองข้ามในเรื่องของ EQ (Emotional Quotient) หรือ ความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งจุดนี้เองทำให้คนไทยเกิดความเครียด วิตกกังวล และมีปัญหาด้านสุขภาพจิตเพิ่มมากขึ้นทุกปี


นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล


นพ.กัมปนาท กล่าว ว่า อีคิวมีความสำคัญมากในการทำงาน และดำเนินชีวิตประจำวัน เพราะคนที่มีอีคิวดีจะสามารถยับยั้งชั่งใจในการแสดงออกทางอารมณ์และตอบสนอง ความต้องการของตนเอง อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง เพื่อนำไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ได้ และยังตัดสินใจแก้ไขปัญหาได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตท่ามกลางวิกฤตต่างๆ ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันก็อาจมีความยืดหยุ่นควบคู่กันไป ปรับให้เหมาะสมกับกาลเทศะ นอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องของการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่นที่สามารถปรับตัว เข้ากับผู้อื่นได้ ซึ่งหากไม่สามารถทำได้ก็จะกลายเป็นคนที่มีปัญหาทางบุคลิกภาพ อันนำไปสู่การเป็นผู้มีปัญหาสุขภาพจิตในที่สุด


คนที่มีความฉลาด ทางอารมณ์หรืออีคิวดีนั้น จะช่วยให้มีทักษะในการจัดการทางความคิดและดำเนินชีวิตประจำวันท่ามกลางวิกฤต ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดภาวะความเครียดสะสม อันจะส่งผลกระทบต่อการทำงาน การดำเนินชีวิตประจำวัน และคนรอบข้าง นพ.กัมปนาท ตันสิ
ถบุตรกุล จึงให้แนวทางในการปฏิบัติเพื่อฝึกทักษะความฉลาดทางอารมณ์ ดังนี้

  1. ต้อง รับรู้ถึงอารมณ์ความรู้สึกตนเอง มากกว่าการที่จะต้องคอยกล่าวโทษคนอื่นๆ หรือสถานการณ์ บางครั้งการทำงานที่หมกมุ่นอยู่กับความเครียด ความสำเร็จในชีวิตมากเกินไป ทำให้ละเลยการใส่ใจอารมณ์ของตนเอง
  2. สามารถ แยกแยะระหว่างความคิดและความรู้สึกของตนเองได้ ความรู้สึกเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และไม่จำเป็นต้องตอบสนองกับความรู้สึกนั้นๆ ทุกครั้ง แต่ความคิด (อย่างมีเหตุผล) สามารถช่วยควบคุมการตอบสนองต่ออารมณ์ความรู้สึกได้
  3. รู้จักใช้ความรู้สึกบ้างในบางครั้งเพื่อช่วยในการตัดสินใจ แต่ถ้าจะให้ดีก็ควรจะควบคู่กับการใช้สติด้วย
  4. นับถือในความรู้สึกของผู้อื่น รวมถึงคนที่เก่งน้อยกว่าว่าบางครั้งวิชาการด้อยแต่อาจจะมีประสบการณ์ที่ดีกว่าก็ได้
  5. เมื่อ ถูกกระตุ้นให้โกรธสามารถควบคุมจิตใจไม่ให้โกรธหรือการแสดงอารมณ์ที่มากเกิน ไป จะเป็นผลดีต่อสุขภาพจิตของตนเองและผู้อื่นด้วย การรู้จักฝึกฝนบ่อยๆ จะช่วยให้สามารถควบคุมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
  6. รู้จักฝึกหาคุณค่าใน ทางบวกจากอารมณ์ในทางลบ เช่น เวลาที่รู้สึกไม่สบายใจ เครียด ท้อแท้ อาจจะลองตั้งสติทบทวนหาสาเหตุ เมื่อทำได้บ่อยๆ จะเป็นคนที่มีเหตุผลมากขึ้น และมีประสบการณ์ที่เข้มแข็งมากขึ้นในการต่อสู้เอาชนะกับความไม่สบายใจใน ครั้งต่อๆ ไป อย่าพยายามทำตัวเป็นคนที่ชอบแนะนำ สั่งสอน อบรม วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แม้ว่า คุณเป็นคนที่มีความรู้สูง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรู้ไปเสียหมดทุกเรื่องเสมอไป ประสบการณ์ที่หลากหลายหรือหลากมุมมองจากคนต่างสาขาวิชาชีพ จะช่วยให้คุณเป็นคนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น เป็นต้น
ขอบคุณแหล่งที่มา/www.thairath.co.th/

Dinner Party Games
Doll Dress Up Games
Fashion Games To Play Online
Free Downloadable Toddler Games
Free Psp Games Download
Fun Game
Games Com
History Of Computer Games
Jill The Plumber Game
Online Dress Up Games For Girls

ทำไงดี! ปวดฉี่บ่อยจัง

ทำไงดี! ปวดฉี่บ่อยจัง

Pic_22778

ผู้ ที่มีอาการปวดปัสสาวะบ่อยๆ ทุกชั่วโมง เวลาปวดจะรุนแรงมากจนต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที มักจะตื่นขึ้นมากลางดึกเกินกว่า 1 ครั้งเพราะปวดปัสสาวะจนทนไม่ไหว เวลาทำงานต้องลุกเข้าห้องน้ำบ่อยมากจนรู้สึกรำคาญ เวลาเดินทางไปไหนไกลๆ หรือรถติดบนท้องถนนก็มักจะรู้สึกปวดปัสสาวะกลางทาง สร้างความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมาก นพ.บุญเลิศ สุขวัฒนาสินิทธิ์ ศัลยแพทย์ ระบบทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า อาการต่างๆ เหล่านี้เป็นอาการผิดปกติของระบบขับถ่ายปัสสาวะ ซึ่งมักพบได้จากหลายสาเหตุ แต่โรคหนึ่งที่พบบ่อยแต่ประชาชนทั่วไปยังอาจรู้จักน้อย คือ โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน หรือ Over Active Bladder, OAB



โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน เป็นกลุ่มอาการของความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง เป็นภาวะที่กระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินไป ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ บางคนเป็นมากต้องปัสสาวะ 2-3 ครั้งต่อชั่วโมง ยิ่งอยู่ในห้องแอร์เย็นๆ จะปัสสาวะบ่อยมากขึ้น และรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง เวลาปวดจะกลั้นไม่ค่อยได้ต้องรีบเข้าห้องน้ำอย่างเร่งด่วน รวมทั้งต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยๆ จนรบกวนการนอนหลับ บางครั้งอาจมีปัสสาวะเล็ด หรืออาจมีอาการเจ็บท้องน้อยร่วมด้วย อาการจะคล้ายๆ กับเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบธรรมดา แต่จะเป็นค่อนข้างเรื้อรังเป็นเวลานาน

ก่อนหน้านี้เคยเข้าใจกันว่าภาวะปัสสาวะไวเกินมักเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ปัจจุบันพบว่าในผู้ชายก็เป็นโรคนี้มากขึ้น โดยมักพบร่วมกับภาวะต่อมลูกหมากโต และพบได้ในคนทุกวัย แต่ไม่ค่อยพบโรคนี้ในเด็ก ซึ่งคนที่เป็นโรคนี้ ผลกระทบส่วนใหญ่จะเกิดกับคุณภาพชีวิตโดยรวม เพราะอาการที่เป็นจะเป็นมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน มีปัญหาเวลาที่ต้องอยู่ในรถที่ติดขัด ทำให้ผู้ป่วยเกิดความรำคาญ มีผลต่อความสะอาดของบริเวณช่องคลอด และขาหนีบ ทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ ไม่กล้าเข้าสังคม ผู้ป่วยจะไม่อยากไปไหน เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะมีห้องน้ำอยู่ใกล้ๆ บริเวณที่จะไป

อะไรคือสาเหตุ

สาเหตุส่วนใหญ่ของอาการกระเพาะปัสสาวะไวเกินยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากระบบประสาทที่บริเวณกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวบ่อยและไวกว่ากำหนด โดยที่ยังมีปริมาณปัสสาวะไม่มากพอที่จะทำให้รู้สึกปวดปัสสาวะ สาเหตุอีกส่วนหนึ่ง คือ พบร่วมกับภาวะการอักเสบ ติดเชื้อของระบบทางเดินปัสสาวะ ภาวะหมดประจำเดือนและโรคทางระบบประสาทบางชนิด



มีวิธีการตรวจวินิจฉัยอย่างไร
การวินิจฉัย ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (Overactive Bladder, OAB) จำเป็นต้องซักประวัติ และตรวจร่างกายอย่างละเอียด โดยเฉพาะระบบประสาท และการตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตัดโรคอื่นๆ ที่อาจมีอาการและอาการแสดงคล้ายกันเสียก่อน ได้แก่ 
1.การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ 
2.เนื้องอกในอุ้งเชิงกราน ที่กดดันกระเพาะปัสสาวะ จนทำให้ปัสสาวะบ่อย 
3.การหย่อนยานของอวัยวะในอุ้งเชิงกราน 
4.ภาวะการขาดฮอร์โมนเพศหญิง 
5.โรคเบาหวาน โรคเบาจืด การได้รับยาที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ 
6.ความผิดปกติของระบบประสาท 
7.กระเพาะปัสสาวะยืดตัวผิดปกติ (Overflow Incontinence) 
8.อาการที่เกิดขึ้นภายหลังการผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน




รักษาได้อย่างไร
เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ดังนั้น การรักษาจึงใช้แนวทางรักษาหลายชนิดมาผสมผสานกัน กล่าวคือ
รักษาภาวะหรือโรคที่มีผลก่อให้เกิดปัญหากระเพาะปัสสาวะไวเกิน ดังกล่าวข้างต้น

  1. การ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การงดดื่มน้ำก่อนนอน หลีกเลี่ยงยา หรืออาหารที่มีฤทธิ์กระตุนการขับปัสสาวะ เช่น ยาขับปัสสาวะ น้ำชา กาแฟ การจัดที่นอนใหม่ให้เข้าห้องน้ำได้สะดวกขึ้น
  2. การใช้ยาที่มีฤทธิ์ คลายการหดตัวของกระเพาะปัสสาวะ โดยหลักๆ จะใช้ยาในกลุ่ม Anticholinergic ซึ่งจะออกฤทธิ์คลายการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ลดการบีบตัวที่ไวเกินปกติของกระเพาะปัสสาวะ การใช้ยาจะต้องมีการปรับขนาดยาให้เหมาะต่อผู้ป่วยแต่ละราย ยาในกลุ่มนี้มี หลายชนิด ต่างกันที่ราคา และผลข้างเคียงของยา
  3. การฝึกกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นหนึ่งในพฤติกรรมบำบัด เป็นการฝึกควบคุมระบบประสาท ที่ควบคุมการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้สมองส่วนกลางส่งสัญญาณมายับยั้งวงจรการปัสสาวะ โดยการฝึกปัสสาวะให้เป็นเวลา และเพิ่มช่วงเวลาการถ่ายปัสสาวะให้มากขึ้นเรื่อยๆ เช่น จากเดิมต้องเข้าทุกๆ 1 ชั่วโมงให้เพิ่มเป็น 1 ชั่วโมงครึ่งและ เพิ่มเป็น 2 ชั่วโมงตามลำดับ เป็นการฝึกให้กระเพาะปัสสาวะ เก็บปัสสาวะให้มากพอ โดยไม่มีอาการบีบตัวไวกว่าปกติ รวมทั้งหลักการเบี่ยงเบนความสนใจ และผู้ป่วยควรขมิบช่องคลอดร่วมด้วย ซึ่งจะลดอาการอยากถ่ายปัสสาวะลง

  4. การ ใช้ไฟฟ้ากระตุ้นที่เส้นประสาทบริเวณก้นกบ (Sacral nerve stimulation) การใช้ไฟฟ้ากระตุ้น ที่เส้นประสาทบริเวณก้นกบ จะช่วยลดการบีบตัวของกระเพาะปัสสาวะ ลงการรักษาโดยวิธีนี้ ต้องมีการผ่าตัดฝังตัว กระตุ้นสัญญาณไฟฟ้าที่หน้าท้อง และกระดูกก้นกบด้วย (Sacral bone) และต้องมีการทดสอบในช่วงแรกว่าได้ผล จึงผ่าตัดฝังเครื่องชนิดถาวร (อยู่ได้ 5 ปี) การรักษาวิธีนี้ มีราคาแพง และยังอยู่ในระหว่างการวิจัย
  5. การฝึกบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพื่อทำให้กล้ามเนื้อที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกรานและกล้ามเนื้อหูรูดส่วน นอกของท่อปัสสาวะหนาตัวและแข็งแรงขึ้น โดยปกติการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน จะใช้ในการรักษาภาวะไอ-จามจนปัสสาวะเล็ด แต่พบว่าสามารถนำมาใช้รักษาภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินได้ด้วย
  6. การ ผ่าตัด มีการผ่าตัดกระเพาะปัสสาวะ บางส่วน หรืออาจนำลำไส้เล็กบางส่วน มาเย็บต่อกับกระเพาะปัสสาวะ เพื่อทำให้การบีบตัวไม่มีผลทำให้ปวดปัสสาวะบ่อย การผ่าตัดมีผลแทรกซ้อนมาก และนิยมทำในรายที่รักษา โดยการใช้ยาแล้วไม่ได้ผลวิธีการอื่นๆ เช่น การใช้ยาหรือสารบางชนิด เช่น Capsaicin ใส่ไปในกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงการทำกายภาพบำบัด

    การจะการรักษาด้วยวิธีใดนั้น แพทย์จะพิจารณาตามความจำเป็นในแต่ละราย ซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันไป

ภาวะ กระเพาะปัสสาวะไวเกิน ถึงแม้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้คุณภาพชีวิตลดลงอย่างมาก มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในหลายๆ ด้าน จึงจำเป็นที่แพทย์ในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สูตินรีแพทย์ ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ อายุรแพทย์ และแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป ให้ความสำคัญและให้การดูและรักษาอย่างจริงจัง เพื่อให้หายหรือบรรเทาจากภาวะดังกล่าวได้ และให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ขอบคุณแหล่งที่มา/www.thairath.co.th/


Christian Party Games
Dress Up Free Games
Drinking Party Games
Free Cheat Codes For Xbox Games
Free Games For Motorola
Free Games To Play Online
Games To Play At A Picnic
Play Hunting Games Online
Poems About Video Games
Video Games Xbox

7วิธีห่างไกลหวัด 2009 แบบไคโรแพรคติก

สถานการณ์ของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช1 เอ็น1 หรือไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่กำลังแพร่ระบาดในขณะนี้ ทำให้มีจำนวนยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยแนวทางป้องกันหนึ่งที่มีการแนะนำในช่วงนี้ก็คือ การดูแลร่างกายให้มีระบบภูมิต้านทานโรคที่แข็งแรง แต่มีวิธีใดบ้างที่จะทำให้ระบบภูมิต้านทานในร่างกายของเราแข็งแรงขึ้นได้ หล่ะ ?

ดร.ทอม สมิธ ไค โรแพรคเตอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ประจำคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก กล่าวถึงความการทำงานของร่างกายที่มีผลต่อภูมิต้านทานของร่างกายว่า เพราะทุกระบบ ทุกส่วนในร่างกายมีความสัมพันธ์กันหมด โดยมีสมองและศูนย์กลางของระบบประสาทคอยทำหน้าที่รับผิดชอบเชื่อมโยงร่างกาย และเซลล์ต่างๆ ซึ่งมีความหมายมาก ถ้าหากสมอง ศูนย์กลางระบบประสาททำงานได้ดี ร่างกายก็จะมีความแข็งแรง แต่ถ้าหากการทำงานเสื่อมลง หรือมีการติดขัดของเซลล์ หรือบางระบบภายในร่างกาย ก็จะทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ติดขัด ร่างกายก็จะอ่อนแอลง เนื่องจากระบบภูมิต้านทานอ่อนแอ จึงเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย เพราะระบบภูมิต้านทานร่างกาย (Immune System) คือระบบภูมิคุ้มกันทั้งหมดของร่างกายที่ทำหน้าที่คอยป้องกันไม่ให้เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาทำอันตรายและทำลายเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย



ด้านนางบัณลักข ถิรมงคล
ผู้อำนวยการคลินิกกายภาพบำบัดดีสปายน์ ไคโรแพรคติก กล่าวว่า แนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพแบบไคโรแพรคติกนั้น ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม ซึ่งการดูแลระบบโครงสร้างร่างกาย การทำงานของกระดูสันหลัง กล้ามเนื้อ ระบบประสาท ให้อยู่ในสภาพที่ดี สมดุล ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สารอาหารที่มีประโยชน์ต่างๆ ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้อย่างเต็มที่ มีความสำคัญต่อระบบภูมิต้านทานที่แข็งแรงของร่างกายมาก ซึ่งในช่วงนี้มีประชาชนที่มารับการบริการรักษาที่คลินิกเป็นจำนวนมากต่าง ตื่นตัว ซึ่งนอกจากไคโรแพรคเตอร์ จะให้การรักษา ปรับ คืนความสมดุลให้กับระบบโครงสร้างร่างกาย แก้ไขปัญหากระดูกเคลื่อน ชะลอการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลังฯลฯ เพื่อให้ระบบเชื่อมต่อในร่างกายต่างๆ ทำงานได้สมดุล มีประสิทธิภาพ ก็จะให้ความรู้ ถึงแนวทางในการดูแลรักษาสุขภาพในชีวิตประจำวัน

เพื่อสร้างภูมิต้านทานที่แข็งแรงให้ร่างกายตามแนวทางของศาสตร์การแพทย์ไคโรแพรคติกดังนี้

1. ควรดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเช้าเวลาตื่นนอน และช่วงระหว่างวัน เฉลี่ย 1.5 ลิตร จะช่วยทำให้ร่างกายขจัดของเสียออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น เพราะน้ำจะช่วยเพิ่มสารคัดหลั่งและความชุ่มชื้นของเยื่อบุผิวในท่อทางเดิน หายใจส่วนบนที่จะช่วยป้องกันและดักจับฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่าง กาย นอกจากนั้นยังช่วยให้เซลล์ในร่างกายคงรูปทำงานได้อย่างปกติ เพื่อสามารถนำอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่างๆ และช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกล้ามเนื้อ กระดูก และช่วยหล่อไขข้อต่างๆ ของร่างกายอีกด้วย

2.รับประทานอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เช่น ผักสด และผลไม้ ที่อุดมไปด้วยสารอาหารพวกเบต้าแคโรทีน วิตามินซี อี บี เช่น ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง มะละกอ มะเขือเทศ ส้ม มะนาว ฝรั่ง ข้าวกล้อง ผักใบเขียว ถั่ว และกระเทียม (ควรเลือกผัก ผลไม้ อินทรีย์ ปลอดสารพิษ) เพื่อช่วยในเรื่องของการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย โดยเฉพาะกระเทียมจะมีสารอัลลิซิน (Allicin) และซัลไฟด์ (Sulfides) จะเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรค ที่สำคัญที่สุดควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์ และทำให้ระบบภูมิต้านอ่อนแอลง เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อาหารที่ปรุงด้วยผงชูรส หรืออาหารที่มีรสหวาน และรสจัด

3.ควรรักษาความสะอาดส่วนต่างๆของร่างกายอยู่เสมอ
เพื่อ ลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อโรคต่างๆ ที่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลง โดยควรล้างมือบ่อยๆ และแปรงฟันหลังอาหารอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และควรสอนใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดเชื้อโรคตามซอกฟัน

4.ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพอเหมาะ ไม่หักโหมเกินไป เพื่อรักษาสภาวะภูมิต้านทานที่ดี

5.พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
อย่างต่ำวันละ 7 ชั่วโมง เพราะการนอนไม่พอนั้นมีผลต่อการสร้างเซลล์ในระบบภูมิต้านทาน เช่น แอนติบอดี

6.พยายามลดความเครียด เพราะ อารมณ์เครียดจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนของกระดูกสันหลัง และยังทำให้ร่างกายเพิ่มการหลั่งฮอร์โมนที่มีฤทธิ์กดภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานต่อโรคต่างๆ ลดลง คนเครียดจึงมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่าย

7.ควรใช้ผ้าปิดปากปิดจมูกทุกครั้งเวลาอยู่ในที่ชุมชนและคนแออัด เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรค และหากมีการไอหรือจามควรจะยืดกล้ามเนื้อหลัง และงอเข่าขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อหลัง หรือข้อกระดูกเคลื่อนที่ เนื่องจาก การไอและจาม ที่รุนแรงจะเกิดแรงสั่นสะเทือนที่มีผลต่อการเคลื่อนที่ของข้อกระดูกในร่าง กายได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นก็จะส่งผลต่อการทำงานระบบอื่นๆ ของร่างกาย ทำให้ภูมิต้านทานอ่อนแอลงด้วย

ขอบคุณแหล่งที่มา/www.thairath.co.th/



Fun Games To Play Online
Games On Line
King Games
Online Mario Games
Play Internet Games
Scooby Doo Games To Play Online
Thomas The Train Games Online
Wii Balance Board Games
All Cooking Games
Build A Bear Games

Thank you

somporsak